Google เปิดเผยข้อมูลสำคัญในระหว่างการไต่สวนคดีผูกขาดว่า แพลตฟอร์ม AI อย่าง Gemini มีผู้ใช้งานประจำเดือน (MAUs) ทั่วโลกถึง 350 ล้านรายในเดือนมีนาคม 2025 ซึ่งนับเป็นการเติบโตอย่างรวดเร็วจากปีที่ผ่านมา แต่แม้จะขยายตัวอย่างน่าประทับใจ Gemini ยังตามหลังคู่แข่งหลักอย่าง ChatGPT และ Meta AI อยู่พอสมควร
ข้อมูลจากการไต่สวนระบุว่า Gemini มีผู้ใช้งานประจำวัน (DAUs) 35 ล้านคนในเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าจาก 9 ล้านคนในเดือนตุลาคม 2024 นอกจากนี้ Google ยังยืนยันว่าปัจจุบัน ChatGPT ของ OpenAI มีผู้ใช้งานประจำเดือนราว 600 ล้านคน ส่วน Meta AI ของ Meta มีผู้ใช้งานราว 500 ล้านคนในช่วงปลายปีที่แล้ว
การเติบโตของ Gemini ส่วนหนึ่งมาจากการผสานเข้ากับอุปกรณ์ Samsung, แอปพลิเคชัน Google Workspace, และเบราว์เซอร์ Chrome ซึ่งทำให้ผู้ใช้หลายล้านคนได้สัมผัสกับบริการ AI ของ Google โดยตรง อย่างไรก็ตาม แม้จะมีฐานผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ Gemini ก็ยังห่างไกลจากการขึ้นเป็นผู้นำตลาด
ในการไต่สวนครั้งนี้ มีการนำเสนอสไลด์ที่แสดงตัวเลขผู้ใช้งาน Gemini ต่อศาล โดยสไลด์ดังกล่าวถูกเปิดเผยระหว่างการให้การของ Sissie Hsiao อดีตหัวหน้าทีม Gemini ที่เพิ่งถูกแทนที่ด้วย Josh Woodward หัวหน้า Google Labs เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำทีม ก็คือความพยายามที่จะ “ปรับโฟกัส” ให้ Gemini เดินหน้าไปสู่พัฒนาการถัดไปอย่างจริงจัง Demis Hassabis ซีอีโอ Google DeepMind ระบุในบันทึกภายในว่า การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการพัฒนา Gemini ในปีสำคัญอย่าง 2025
Sundar Pichai ซีอีโอ Google ได้กล่าวในงานประกาศผลประกอบการไตรมาสก่อนหน้านี้ว่า บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มโฆษณาเข้าไปใน Gemini เวอร์ชันมัลติโหมด เช่นเดียวกับที่ทำในฟีเจอร์ AI Overviews บน Google Search เพื่อพยายามชดเชยต้นทุนการประมวลผล AI ที่สูงมาก อย่างไรก็ตาม โฆษณาใน Gemini จะยังไม่เปิดตัวภายในปี 2025 โดย Google จะเน้นไปที่การปล่อยทั้งเวอร์ชันฟรีและแบบเสียค่าบริการก่อน
Pichai ยืนยันว่า Google มีแนวคิดใหม่ ๆ สำหรับโฆษณาแบบเนทีฟใน Gemini แต่ในระยะแรกจะให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้เป็นหลัก พร้อมตั้งเป้าให้ Gemini เป็นแอปตัวถัดไปที่มีผู้ใช้งานทะลุ 500 ล้านคน แต่ยอมรับว่า “ยังมีงานอีกมากที่ต้องทำในปี 2025” เพื่อปิดช่องว่างจากคู่แข่งและสร้างความเป็นผู้นำในตลาด AI
แม้การมีฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่จะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าการให้บริการ AI แบบสร้างสรรค์ (Generative AI) มีต้นทุนที่สูงมาก บริษัทต่าง ๆ ไม่ได้ทำกำไรจากการมีผู้ใช้มากขึ้นโดยตรง เพราะการประมวลผลโมเดล AI ขนาดใหญ่นั้นใช้ทรัพยากรมหาศาล ทั้ง Google และ OpenAI ต่างยอมรับว่าการให้บริการ AI ยังขาดทุน โดยแม้แต่แผนการสมัครสมาชิกแบบ 200 ดอลลาร์ต่อเดือนของ OpenAI ก็ยังไม่สามารถครอบคลุมต้นทุนได้เต็มที่
สุดท้ายแล้ว ความสามารถในการลดต้นทุนการประมวลผล และการค้นหารูปแบบการสร้างรายได้ที่ยั่งยืน จะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับทุกบริษัท AI ในการแข่งขันระยะยาว