ในขณะที่โลกยังไม่ลืมบทเรียนราคาแพงจากโควิด-19 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศความสำเร็จในการเจรจาร่างสนธิสัญญาฉบับใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบรับมือโรคระบาดระดับโลกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยุติความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรทางการแพทย์ โดยคาดว่าจะมีการลงนามอย่างเป็นทางการในการประชุมใหญ่ของ WHO ที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมนี้ที่นครเจนีวา
ร่างสนธิสัญญาดังกล่าวเป็นผลจากกระบวนการเจรจาที่ยาวนานกว่า 3 ปี หลังวิกฤตโควิด-19 ได้เผยให้เห็นช่องโหว่ร้ายแรงในการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันข้อมูล การเข้าถึงวัคซีน หรือระบบเตือนภัยล่วงหน้า
ความพยายามพลิกฟื้นจากอดีต
ดร.เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ WHO กล่าวว่า การที่ประเทศสมาชิกสามารถตกลงกันได้ในประเด็นสำคัญเช่นนี้ ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกว่าโลกยังสามารถร่วมมือกันได้แม้จะมีความเห็นต่างในหลายด้าน พร้อมย้ำว่าการมีสนธิสัญญาฉบับนี้จะเป็นเสาหลักในการเตรียมความพร้อมและตอบสนองต่อวิกฤตสุขภาพในอนาคต
หนึ่งในสาระสำคัญของสนธิสัญญาคือการกำหนดให้ประเทศที่ตรวจพบเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ต้องแบ่งปันตัวอย่างไวรัสอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว และในทางกลับกัน WHO จะทำหน้าที่สำรองผลิตภัณฑ์ เช่น วัคซีน ยา และชุดตรวจไว้ 20% เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประเทศที่มีทรัพยากรจำกัดในยามฉุกเฉิน
สหรัฐฯ และอาร์เจนตินา ถอนตัวจากกระบวนการ
แม้หลายประเทศจะให้การสนับสนุนสนธิสัญญาฉบับนี้ แต่บางประเทศกลับแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการไม่เข้าร่วม โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ถอนตัวจาก WHO ไปเมื่อต้นปี และมีคำสั่งห้ามเจ้าหน้าที่อเมริกันเข้าร่วมเจรจาเรื่องสนธิสัญญานี้
ในเวลาใกล้เคียงกัน อาร์เจนตินาภายใต้การนำของประธานาธิบดีฮาเวียร์ ไมเลอี ก็ประกาศถอนตัวจาก WHO โดยให้เหตุผลว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางบริหารขององค์กร
คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ: ปฏิบัติจริงได้แค่ไหน
แม้จะมีความหวังมากมาย แต่หลายฝ่ายก็ยังตั้งข้อสงสัยว่าสนธิสัญญาฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้จริงหรือไม่ เพราะในทางกฎหมายระหว่างประเทศยังไม่มีบทลงโทษที่ชัดเจนสำหรับประเทศที่ไม่ปฏิบัติตาม
ราเชล ครอคเกตต์ จากองค์กรความร่วมมือด้านยาเพื่อโรคที่ถูกละเลย (DNDi) ระบุว่า ข้อตกลงครั้งนี้เป็น “ผลลัพธ์ของการประนีประนอม” ที่มีข้อดีชัดเจน แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้จริงของแต่ละประเทศ
ด้าน ดร.หยวนฉง หู จากองค์กรแพทย์ไร้พรมแดน ให้ข้อมูลว่า หากเกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศจากการตีความหรือการปฏิบัติตามสนธิสัญญา จะมีการใช้กลไกการเจรจาทางการทูต และอาจเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการตามที่ระบุไว้ในร่างข้อตกลง
แม้ในอดีตจะมีหลายประเทศที่ถูกวิจารณ์ว่าไม่รายงานการระบาดของโรคอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว เช่น จีนในช่วงเริ่มต้นของโควิด-19 หรือบางประเทศในแอฟริการะหว่างวิกฤตอีโบลา ทั้งที่มีพันธะหน้าที่ภายใต้กฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations – IHR) แต่ WHO ยังคงตั้งความหวังว่าสนธิสัญญาฉบับใหม่นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมใหม่ในการรับมือโรคระบาด ที่เน้นความโปร่งใส ความร่วมมือ และการเข้าถึงอย่างเท่าเทียมในระดับโลก