Coca-Cola บริษัทเครื่องดื่มรายใหญ่ของโลก กำลังเผชิญกระแสวิจารณ์อย่างรุนแรง หลังมีรายงานเปิดเผยว่าแบรนด์ดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรม fracking ในสหรัฐอเมริกา และยังอาจต้องหันกลับมาใช้ขวดพลาสติก PET เพิ่มขึ้นจากผลกระทบของนโยบายขึ้นภาษีอะลูมิเนียมที่ออกโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
รายงานโดยองค์กรสิ่งแวดล้อม Stand.earth ระบุว่า Coca-Cola และแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่อื่น ๆ เช่น Nestlé, Unilever และ Procter & Gamble มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้วัตถุดิบจากกระบวนการ fracking ในแหล่งพลังงาน Permian Basin รัฐเท็กซัส ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก กระบวนการ fracking เป็นการเจาะชั้นหินด้วยแรงดันสูงเพื่อดึงน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โดยหนึ่งในผลพลอยได้คือ ethane ซึ่งถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตพลาสติก แม้ Coca-Cola จะมีโครงการ “World Without Waste” ที่มุ่งส่งเสริมการใช้วัสดุรีไซเคิลและลดของเสีย แต่รายงานฉบับนี้ชี้ว่า บริษัทยังคงพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งขัดกับภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนที่บริษัทพยายามสร้างมาโดยตลอด
ขณะเดียวกัน James Quincey ซีอีโอของ Coca-Cola ให้สัมภาษณ์กับนักลงทุนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า บริษัทอาจจำเป็นต้องเพิ่มสัดส่วนการใช้ขวดพลาสติก PET มากขึ้น หากราคาของกระป๋องอะลูมิเนียมพุ่งสูงจากการขึ้นภาษีนำเข้าอะลูมิเนียม 25% ตามคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยให้เหตุผลว่า ต้นทุนของบรรจุภัณฑ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของต้นทุนรวม และบริษัทจำเป็นต้องแข่งขันในตลาดที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับราคาที่จับต้องได้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปรับลดเป้าหมายการใช้วัสดุรีไซเคิลในบรรจุภัณฑ์จากเดิม 50% ภายในปี 2030 ลงเหลือ 35-40% ภายในปี 2035
นักสิ่งแวดล้อมเตือนว่า การตัดสินใจเหล่านี้จะยิ่งทำให้ปัญหาขยะพลาสติกเลวร้ายลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขวด PET มีแนวโน้มกลายเป็นไมโครพลาสติกและเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของมนุษย์ในระยะยาว แม้ Coca-Cola จะมีแคมเปญเพื่อความยั่งยืนจำนวนมาก แต่หลายฝ่ายมองว่าเป็นเพียงการสร้างภาพหรือ “greenwashing” ที่ไม่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงจริงในเชิงโครงสร้าง
ข้อมูลจากวารสาร Science Advances ที่สรุปโดยสำนักข่าว Axios ยังระบุว่า Coca-Cola เป็นบริษัทที่ก่อมลพิษจากพลาสติกมากที่สุดในโลกเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการดำเนินธุรกิจภายใต้แรงกดดันจากทั้งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และการเมือง
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของนโยบายระดับชาติและความคาดหวังจากผู้บริโภคทั่วโลก Coca-Cola กำลังถูกตั้งคำถามอย่างหนักว่า แนวทางที่บริษัทเลือกเดินอยู่ในเส้นทางของความยั่งยืนจริงหรือเป็นเพียงกลยุทธ์สื่อสารทางการตลาดเท่านั้น