Monday, April 28, 2025

ข้อคิดจากหนังสือ Smarter Faster Better ที่จะช่วยให้คุณเป็นคนใหม่

Share

1. แรงจูงใจเริ่มจากการรู้สึกว่า “เราเลือกได้” ไม่ใช่แค่ต้องทำตาม

หลายครั้งที่เราขี้เกียจ ไม่ใช่เพราะเราไม่เก่งหรือไม่มีเวลา แต่เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่มีทางเลือก เช่น อาจารย์สั่งงานมา เราก็แค่ “ต้องทำ” หัวหน้าสั่งงาน ก็แค่ “ต้องเสร็จ” ความรู้สึกแบบนี้จะค่อย ๆ ทำให้พลังในตัวเราหายไป

แต่ถ้าเรามองว่าสิ่งที่ทำอยู่คือสิ่งที่เรา “เลือก” ที่จะทำ เช่น คิดว่าโปรเจกต์นี้เป็นโอกาสให้เราได้ฝึกทักษะเพิ่ม หรือเป็นอีกก้าวสู่เป้าหมายในอนาคต เราจะเริ่มมีไฟ เพราะเรากำลังควบคุมชีวิต ไม่ใช่โดนชีวิตควบคุม

2. เป้าหมายที่ดีต้องมีทั้งพลังดึงดูด และความชัดเจน

เป้าหมายแบบ “อยากเรียนเก่ง” หรือ “อยากมีเงินเยอะ” เป็นเป้าหมายที่ฟังดูดี แต่คลุมเครือเกินไปจนสมองไม่รู้จะเริ่มยังไง คนที่ประสบความสำเร็จจะมีเป้าหมายสองชั้น คือ เป้าหมายใหญ่ที่ทำให้หัวใจเต้นแรง เช่น อยากได้ทุนไปเรียนต่างประเทศ และเป้าหมายเล็ก ๆ ที่วัดผลได้ชัด เช่น ต้องอ่านหนังสือวันละ 30 หน้า หรือเก็บเงินให้ได้เดือนละ 5,000 บาท

เมื่อสองสิ่งนี้ทำงานร่วมกัน จะเกิดแรงผลักและแรงดึงพร้อมกัน ทำให้เดินหน้าได้ต่อเนื่อง

3. สมาธิเกิดจากการวางแผนในหัวล่วงหน้า

ถ้าคุณเคยรู้สึกว่าทำอะไรไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีเป้าหมาย ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร หนังสือเล่มนี้แนะนำให้เราลอง “สร้างภาพจำลองในหัว” ก่อนลงมือทำ เช่น ก่อนเข้าเรียน ลองคิดไว้ก่อนว่าวันนี้จะเรียนเรื่องอะไร และเราต้องการเข้าใจประเด็นไหน หรือก่อนเริ่มทำงาน ลองวางแผนคร่าว ๆ ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง

การทำแบบนี้เป็นการบอกสมองให้โฟกัสกับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ และช่วยให้เราหลุดจากการเลื่อนไถ่ไปมาแบบไม่มีทิศทาง

4. ตัดสินใจให้ดีขึ้น ด้วยการมองภาพรวม ไม่ใช่แค่เลือกเร็ว

เวลาต้องเลือกเรียนวิชาเลือก เลือกงานเสริม หรือเลือกเส้นทางชีวิต หลายคนตัดสินใจเร็วเพราะอยากให้จบ ๆ ไป แต่คนที่คิดลึกกว่าคือคนที่ลอง “สมมติสถานการณ์” ว่าถ้าเลือกแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วลองเทียบกับทางเลือกอื่น

เช่น ถ้าเลือกทำพาร์ตไทม์ตอนเย็นจะกระทบการเรียนไหม? ถ้าเลือกฝึกงานสายนี้ จะต่อยอดสู่เป้าหมายในอนาคตได้จริงหรือเปล่า? ยิ่งคิดเป็นฉาก ยิ่งตัดสินใจได้มั่นใจขึ้น และผิดพลาดน้อยลง

5. ทีมที่ดี ไม่ได้อยู่ที่คนเก่งที่สุด แต่อยู่ที่การกล้าคุยกันจริง ๆ

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียนที่ทำโปรเจกต์กลุ่ม หรือพนักงานใหม่ในทีม การทำงานร่วมกันจะเวิร์กก็ต่อเมื่อทุกคน “รู้สึกปลอดภัย” พอที่จะพูดความเห็นของตัวเอง ไม่กลัวว่าพูดไปจะโดนมองว่าโง่ หรือกลัวว่าจะขัดใจคนอื่น

หัวใจของทีมที่ดีไม่ใช่เก่งที่สุด แต่คือการฟังกัน เข้าใจกัน และสร้างบรรยากาศให้ทุกคนรู้สึกว่าเสียงของเขามีค่า ลองเป็นคนเริ่มต้นสร้างวัฒนธรรมนั้นในทีมดู แล้วคุณจะกลายเป็นหนึ่งในคนที่ทีมขาดไม่ได้

6. เรียนรู้ให้ดีขึ้น ด้วยการลงมือทำกับข้อมูล ไม่ใช่แค่จำ

เคยไหม อ่านหนังสือจนตาแฉะแต่พอเจอข้อสอบก็ตอบไม่ได้ หรือดูวิดีโอสอนจนจบแต่พอเอาไปใช้จริงกลับจำอะไรไม่ได้เลย นั่นเพราะสมองของเราไม่ได้เรียนรู้จาก “การรับข้อมูล” แต่เรียนรู้จาก “การลงมือจัดการกับมัน”

เช่น ลองจดสรุปด้วยมือตัวเอง พยายามอธิบายสิ่งที่เรียนรู้ให้คนอื่นฟัง หรือเชื่อมโยงความรู้ใหม่เข้ากับประสบการณ์ของตัวเอง วิธีพวกนี้จะช่วยให้สมองสร้างเครือข่ายความจำที่แน่นและใช้งานได้จริง

7. นวัตกรรมไม่ได้เกิดจากไอเดียใหม่ทั้งหมด แต่เกิดจากการเชื่อมโยงสิ่งเก่าให้เป็นรูปแบบใหม่

ถ้าคุณคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนคิดสร้างสรรค์ เพราะไม่มีไอเดียใหม่ ๆ ตลอดเวลา ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ เพราะจริง ๆ แล้ว ไอเดียดี ๆ มากมายเกิดจากการ “เอาสิ่งเดิมที่มีอยู่ มาต่อกันในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน”

เช่น คุณอาจเอาเทคนิคจากเกมที่เล่น มาใช้ในการวางแผนการอ่านหนังสือ หรือเอาวิธีจัดห้องของนักออกแบบมาประยุกต์กับโต๊ะอ่านหนังสือที่บ้าน คุณไม่ต้องสร้างสิ่งใหม่จากศูนย์ แต่แค่เชื่อมโยงสิ่งที่คุณมีในแบบของคุณเอง

8. เวลาชีวิตเจอปัญหา วิธีคิดคือสิ่งที่ช่วยให้ลุกขึ้นได้ไวกว่าเดิม

ทุกคนเคยเจอช่วงที่รู้สึกแย่ เหมือนทำอะไรก็ผิดพลาดไปหมด แต่สิ่งที่ทำให้คนบางคนผ่านมันไปได้ ไม่ใช่แค่เพราะเขาเก่ง แต่เพราะเขาคิดกับเหตุการณ์นั้นต่างออกไป

แทนที่จะคิดว่า “เราล้มเหลวอีกแล้ว” เขาอาจมองว่า “นี่คือช่วงฝึกความอดทน” หรือ “นี่คือสิ่งที่เราต้องผ่านเพื่อเติบโต” เมื่อเราบอกเรื่องราวกับตัวเองแบบนี้ สมองจะจัดการกับความเครียดได้ดีขึ้น และเราจะค่อย ๆ กลับมาได้เร็วขึ้น


สำหรับใครที่สนใจอ่านหนังสือ Smarter Faster Better ฉบับเต็ม

สามารถซื้อได้ที่นี่ : https://s.shopee.co.th/gCm89Z7V3

ติดตามเราได้ที่ 

Facebook

Cinvestix Writer
Cinvestix Writerhttp://cinvestix.com
Business, Investment and Lifestyle

Read more

Articles You Might Like